X

เปิดคำพิพากษา คดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ฟ้อง สหกรณ์การเกษตรท่าอุเทน

เปิดคำพิพากษา คดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ฟ้อง สหกรณ์การเกษตรท่าอุเทน เรียกเงินบริจาค โรงสีข้าวงบมิยาซาว่าเมื่อกว่า ยี่สิบปีที่แล้ว

กรณีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ยื่นฟ้องสหกรณ์การเกษตรท่าอุเทน จำกัด  ฐานผิดสัญญา และเรียกเงินคืนเป็นจำนวนเงิน 9,268,044 บาท สืบเนื่องจากเมื่อ ประมาณเดือนธันวาคม 2542 รัฐบาลในสมัยนั้นได้รับเงินกู้มิยาซาว่า เป็นจำนวนเงินกว่า 50,000 ล้านบาท ตามโครงการมิยาซาว่าแพลน จึงนำมาจัดสรรให้หน่วยงานต่างโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในสมัยนั้นได้รับจัดสรร เป็นเงิน กว่า 1,500 ล้านบาทจึงนำมาจัดเป็นโครงการเงินกู้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างภาคการเกษตร โดยจัดสรรเงินไปตามสหกรณ์ต่าง ๆ ทั่วประเทศ และสหกรณ์การเกษตรท่าอุเทน ก็ได้รับการจัดสรรอุปกรณ์การตลาดคือโรงสีข้าวกำลังการผลิตขนาด 40 ตันต่อวัน มีมูลค่า รวม 8,775,900 บาท โดยสหกรณ์การเกษตรได้ทำคำยินยอมในการขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุน ในการก่อสร้างโรงสีดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขว่าสหกรณ์การเกษตรท่าอุเทนจะต้องบริจาคเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์เป็นงวด ๆ ปีละครั้ง อีกทั้งยังยินยอมบริจาคเงินอีกร้อยละ 1 ของวงเงิน 8,775,900 บาท และของยอดเงินคงเหลือในปีต่อ ๆ ไปจนกว่าการบริจาคเงินจะครบจำนวน  หลังจากนั้นกิจการโรงสีข้าวได้รับผลกระทบเนื่องจากนโยบายข้าวของรัฐบาลในขณะนั้นเปลี่ยนแปลงทุกสมัย จนกิจการโรงสีข้าวไม่สามารถสร้างรายได้เพียงพอต่อการจ่ายเงินบริจาคคืนให้กองทุนพัฒนาสหกรณ์ จึงไม่สามารถจ่ายเงินคืนได้ และหลังจากนั้นกิจการโรงสีข้าวก็ต้องปิดตัวลงเนื่องจากปัญหาขาดสภาพคล่อง ไม่มีเงินไปซื้อข้าวเปลือกมาป้อนโรงสีจึงไม่สามารถนำเงินมาส่งคืนให้กับกองทุนพัฒนาได้เต็มจำนวน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ จนถูกกรมส่งเสริมสหกรณ์ฟ้องเรียกเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยคืน ต่อศาลจังหวัดนครพนมเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ494/2565   และคดีหมายเลขแดงที่ พ1575/2566 โดยกล่าวหาว่าผิดสัญญา ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและเรียกเงินคืน เป็นจำนวนเงิน 9,268,044 บาท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2565 และศาลได้กำหนดประเด็น พิพาทไว้สองประเด็นในชั้นชี้สองสถาน คือ 1. จำเลยต้องชำระหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่เพียงใด และ 2. ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และหลังจากได้สืบพยานโจทก์และพยานจำเลยจนครบถ้วนแล้วศาลจังหวัดนครพนมได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 15 ธันวาคม 2566 โดยเนื้อหาของคำพิพากษาในคดีนี้ศาลมีคำพิพากษาว่า

พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟัง

เป็นที่ยุติว่า จำเลยขอรับความช่วยเหลือค้านเงินทุนภายได้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้าง

ภาคเกษตร 8,775,900 บาท จากโจทก์ เพื่อก่อสร้างโรงสีขนาดกำลังการผลิต 40  ตัน

ต่อวัน โดยจำเลยยินยอมบริจาคเงินสมทบเข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์เพื่อนำไปเป็นเงิน

สนับสนุนอุปกรณ์การตลาดให้กับสหกรณ์อื่น และเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงานจัดการ

ติดตามประเมินผลการศึกษาวิจัย โดยบริจาคเงิน(ส่วนลงทุน)  8,775,900  บาท เพื่อนำไป

เป็นเงินทุนสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดให้สหกรณ์อื่น บริจาคเงินร้อยละ 1 ต่อปี ตามวงเงิน

8,775,900 บาท และของยอดเงินคงเหลือในปีต่อ ๆ ไปจนกว่าการบริจาคเงินจะครบ

จำนวน ตามตารางบริจาคเงิน คดีมีประเด็นให้วินิจฉัยประการแรก

ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นสมควรวินิจฉัยก่อนว่าคำให้การของจำเลยในประเด็น

เรื่องอายุความขัดแย้งกันหรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177

วรรคสอง บัญญัติว่า ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธ

ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแค่เพียงบางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น ตามคำให้การของ

จำเลยแม้ในตอนแรกจำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญากู้ยืมที่มี

ข้อตกลงผ่อนชำระคืนทุนเป็นงวด ๆ จึงมีอายุความ 5 ปี ต่อมาจำเลยขอแก้ไขเพิ่มเติมทำให้การว่า ข้อตกลงให้ความช่วยเหลือไม่ใช่การกู้ยืมเงิน แต่เป็นการให้สิ่งของแบบมีเงื่อนไข

เป็นสัญญาไม่มีรูปแบบ จึงมีกำหนดอายุความ 10 ปี เห็นว่า ตามคำยินยอมจำเลยในการขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุนภายได้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร

ข้อสัญญามีทั้งระบุว่าเป็นโครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ให้เงินค่าจ้าง

ก่อสร้างโรงสีข้าว คำให้การของจำเลขจึงเป็นการให้การต่อสู้อายุความในแต่ละมูลหนี้

ที่ปรากฏในสัญญา โดยหากฟังว่าเป็นการกู้ยืมเงินจำเลยต่อสู้ว่าขาดอายุความ 5 ปี หากฟัง

ว่าเป็นการให้สิ่งของแบบมีเงื่อนไขจำเลยต่อสู้ว่าขาดอายุความ 10 ปี คำให้การของจำเลย

ในประเด็นอายุความในแต่ละเรื่องจึงไม่ขัดแย้งกัน จึงมีประเด็นเรื่องคดีอายุความให้วินิจฉัย

ตามข้อต่อสู้ของจำเลย เมื่อตามคำยินยอมของจำเลยในการขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุน

ภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร และตารางแนบท้าย กำหนดเงื่อนไขให้จำเลยผ่อนชำระเงินบริจาคส่วนทุน  8,775,900 บาท เป็นรายงวดรวม 14 งวด งวดที่ 1 ถึงงวดที่ 10  งวดละ 750,000 บาท งวดที่ 11 ถึงงวดที่  13 งวดละ 800,000 บาท และงวดที่ 14  จำนวน 375,900 บาท เมื่อจำเลยชำระเงินบริจาคส่วนเงินลงทุนตามตารางที่โจทก์กำหนดครบทุกงวด ไม่มีงวดเงินคงเหลือที่ต้องชำระอีก รวมชำระทุกงวดเป็นเงิน 8,775,900  บาท เท่ากับจำนวนเงินที่จำเลยได้รับจากโจทก์ และจำเลยต้องบริจาคเงินอีกร้อยละ 1 ต่อปี หากจำเลยชำระเงินบริจาคส่วนเงินลงทุน และบริจาคเงินร้อยละ 1 ต่อปี ครบตามข้อตกลง จำเลยต้องชำระเงินโจทก์ 9,331,008 บาท หนี้ดังกล่าวจึงมีลักษณะผ่อนคืนทุนเป็นงวด ๆ ซึ่งมีกำหนดอายุความ 5  ปี

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (2) ซึ่งมาตรา 193/12  บัญญัติ

ว่าอายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้น ไป เมื่อตามตารางท้ายคำ

ยินยอมกำหนดให้จำเลยชำระเงินบริจาคส่วนลงทุน และเงินบริจาคร้อยละ ๑ ต่อปี งวดแรก

วันที่ 6 ธันวาคม 2547 แต่จำเลยไม่ชำระ โดยมาชำระบางส่วนเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม

2558  อายุความจึงให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 7  ธันวาคม 2547 แต่ในวันที่ 23 กันยายน 2548

จำเลยทำบันทึกต่อท้ายความยินยอมเพิ่มเติมโดยขอปรับยอดเงินบริจาคส่วนเงินลงทุน

และเงินบริจาคอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ใหม่ เป็นรายปี รวม 20 งวด ชำระงวดแรกภายในวันที่

30  กันยายน 2548  งวดต่อไปภายในวันที่ 30 กันยายนของทุกปี งวดสุดท้ายชำระ

ภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 ข้อตกลงและเงื่อนไขอื่น ๆ นอกจากที่เปลี่ยนแปลง ให้เป็นไปตามบันทึกฉบับเดิม และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของทันทึกคำยินยอมของสหกรณ์ในการขอรับความช่วยเหลือเงินทุนภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะที่จำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ต่อโจทก์ อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/14 (1)  ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนหน้านั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเมื่อเหตุที่อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น ทั้งนี้ตามมาตรา 193/15 วรรคหนึ่ง วรรคสอง หลังจากทำบันทึกต่อท้ายความยินยอมของสหกรณ์ในการขอรับความช่วยเหลือเงินทุนภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ขอปรับยอดเงินบริจาคส่วนเงินลงทุนและเงินบริจาคอัตราร้อยละ 1 ต่อปี จำเลยผิดนัดชำระตั้งแต่งวดแรก โดยชำระเงินบริจาคอัตราร้อยละ 1 ต่อปี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2556 อายุความ 5 ปี จึงเริ่มนับใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป ซึ่งครบกำหนด  5  ปี ในวันที่  1  ตุลาคม 2553 คดีโจทก์ขาดอายุความ  5   ปีแล้วตั้งแต่ วันที่  25 กันยายน 2558  จำเลยทำบันทึกข้อตกลงการขอผ่อนผันและขยายระยะเวลาส่งชำระเงินคืนกรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อนำเข้ากองทุนพัฒนาสหกรณ์ ต่อท้ายคำยินยอมของสหกรณ์ในการขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุน ภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรบันทึกดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า ตามคำยินยอมของสหกรณ์ในการขอรับความช่วยเหลือด้านเงินทุน ภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร ฉบับลงวันที่  6 ธันวาคม 2544 จำเลยได้รับการจัดสรรเงินอุดหนุน 8,775,900 บาท เพื่อคำเนินตามรายการต่อไปนี้ 1.อุปกรณ์โรงสีข้าว ขนาด 40 ตันต่อวัน และในวันทำสัญญาฉบับนี้จำเลขยังค้างชำระเงินอุดหนุน 8,775,900  บาท ค้างชำระค่าธรรมเนียม 792,144 บาท รวมเป็นเงินค้างชำระ 9,568,044  บาท จำเลยจึงขอผ่อนผันและขยายระยะเวลาส่งเงินคืนกองทุน และโจทก์ตกลงผ่อนผันและขยายระยะเวลาการชำระเงินคืนเงินอุดหนุนและเงินค่าธรรมเนียมค้างชำระรวม 7  งวด ชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 กันยายน 2564 ข้อตกลงและเงื่อนไขอื่นๆ นอกจากที่เปลี่ยนแปลงตามข้อตกลงผ่อนผันขยายระยะเวลาให้เป็นไปตามคำยินยอม ให้ถือว่าบันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของความยินยอม บันทึกดังกล่าวจึงเป็นบันทึกที่แสดงเพียงว่าจำเลยได้รับเงินอุดหนุนที่ได้รับเพื่อจัดซื้อโรงสีข้าว ขนาด 40 ตันต่อวัน และค้างชำระเงินอุดหนุนและค่าธรรมเนียม กับขอผ่อนผันการชำระเงินคืนเท่านั้น ทั้งยังให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำอินยอมฉบับลงวันที่ 6 ธันวาคม 2544 บันทึกดังกล่าวไม่มีสาระสำคัญใดเปลี่ยนแปลงข้อสัญญาเดิมหรือเปลี่ยนแปลงหนี้เดิมแต่อย่างใด จึงไม่ถือว่าว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่บันทึกดังกล่าวเป็นการยืนยันว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จึงเป็นเพียงการรับสภาพความผิดที่จำเลยมีต่อโจทก์ เมื่อจำเลยรับสภาพความผิดหลังจากคดีโจทก์ขาด

อายุความแล้ว กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคสอง

โดยในส่วนอายุความรับสภาพความผิดมาตรา  193/35 บัญญัติให้มีอายุความ  2 ปี นับแต่

วันที่ได้รับสภาพความผิด แม้ภายหลังจำเลยทำหนังสือรับสภาพความผิดจำเลยชำระเงินแก่

โจทก์ 300,000 บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29  สิงหาคม 2560 ก็เป็นการชำระ

หนี้หลังจากคดีขาดอายุความแล้ว จำเลยคงเสียเพียงสิทธิที่จะเรียกคืนไม่ได้ ตามมาตรา 193/28

วรรคหนึ่ง เท่านั้น เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 15  มีนาคม 2565  จึงเกินกว่า 2 ปีนับตั้งแต่วันที่จำเลยรับสภาพความผิด ฟ้องโจทก็จึงขาดอายุความ กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่น ๆ อีก

พิพากษายกฟ้อง

ทวี อภิสกุลชาติ ข่าว/ภาพ

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน