สระแก้ว – ฝ่ายปกครองมีคำสั่งด่วนให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้าน รายงานผู้เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีและประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะประเทศกลุ่มเสี่ยง ห้วงระหว่างวันที่ 23 ก.พ.-7 มี.ค.63 และเลื่อนการจับใบดำแดงทหารเกณฑ์ออกไป ด้านสาธารณสุขจังหวัดสระแก้วออกมาชี้แจงกรณีชาวบ้านแตกตื่นและหวาดกลัว หลังกลุ่มเสี่ยงกลับจากประเทศเกาหลี ในพื้นที่ ต.ท่าเกษม ว่า มีการกักตัวและดูแลอย่างดีโดยเจ้าหน้าที่ และไม่ใช้เดินทางจากเมืองเสี่ยงสูง
เมื่อวันที่ 14 มี.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด19 ได้แพร่อย่างรวดเร็วและกว้างขวางไปหลายประเทศทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจำนวนมาก ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การระบาดของโรคดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ และทางกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศให้โรคโควิด19 เป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดต่อของโรคดังกล่าวที่มากับผู้เดินทางจากนอกราชอาณาจักรนั้น ทางกรมการปกครองจึงมีคำสั่งให้มีการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างมีสิทธิภาพเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่นั้น
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา แต่ละอำเภอในพื้นที่ จ.สระแก้ว ได้มีหนังสือด่วนที่สุด สั่งการให้ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทุกแห่งทุกหมู่บ้านสำรวจข้อมูลผู้เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีหรือประเทศอื่น ๆ ห้วงระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ – 7 มีนาคม 2563 ว่ามีผู้เดินทางกลับมาและเข้ามาพักอาศัยในพื้นที่หรือไม่ หากหมู่บ้านใดมีผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศในห้วงเวลาดังกล่าว ขอความร่วมมือให้รายงานข้อมูลตามแบบรายงาน ส่งให้อำเภอทราบครั้งแรก ภายในเวลา 16.00 น.ของวันที่ 13 มี.ค.63 และให้มีการรายงานทุกครั้งเมื่อมีข้อมูลเปลี่ยนแปลง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ส่วนสัสดี
ข่าวน่าสนใจ:
ทางด้าน นายอำนาจ พิพิธกุล กำนันตำบลตาหลังใน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว บอกว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญต้องการให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สร้างการรับรู้แก่ประชาชนถึงสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ตามสถานการณ์ที่เป็นจริง เพื่อลดความตื่นตระหนกของประชาชนโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ตลอดจนประชาชนจิตอาสา สื่อสารให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงสถานการณ์และแนวทางทางปฏิบัติให้เกิดความปลอดภัย มอบหมายภารกิจให้คณะกรรมการหมู่บ้านและประชาชนจิตอาสา ร่วมทำความสะอาดบริเวณพื้นที่หมู่บ้าน ชุมชน ตลาด วัด โรงเรียน รวมทั้งขอสนับสนุนเจลล้างมือและหน้ากากอนามัย เพื่อนำมาบริการประชาชนบริเวณจุดให้บริการที่ประชาชนมารับบริการจำนวนมากด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมกรณีที่มีชาวบ้านในพื้นที่ ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว แตกตื่นและหวาดกลัวติดโรคโควิด 19 หลังมีผู้เดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้าพักอาศัยในพื้นที่ว่า เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 14 มี.ค.63 ทางเจ้าหน้าที่่สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลโดยระบุว่า ข้อเท็จจริงกรณีผู้เข้าข่ายเฝ้าระวังโรคที่ตำบลท่าเกษม อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว ที่เดินทางกลับจากเกาหลีดังนี้ 1.ผู้เข้าข่ายเป็นหญิง เดินทางกลับจากประเทศเกาหลี (ไม่ใช้เมืองเสี่ยงสูง) เมื่อ 3 มี.ค.63 ต้องกัก 14 วัน ถึง 16 มีนาคม 2563 ,2.ผู้หญิงคนดังกล่าว แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข แล้วขอกักตัวเอง 14 วัน ตามมาตรการของราชการ โดยมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเข้าไปดูแลและวัดไข้ทุกวัน ขณะนี้ปกติดี ไม่มีไข้ ,3.สามีนำอาหารไปส่งและพูดคุยเพื่อให้กำลังใจ โดยใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตนเอง อยู่ห่างกว่า 2 เมตร (โดยบอกว่าตนเองก็กลัวโรคนี้เหมือนกัน) ไม่ได้นัวเนียตามที่แชร์กันในโซเชียลมีเดีย ,4.สาธารณสุขอำเภอเมืองสระแก้ว/นายกเทศบาลตำบลท่าเกษม ได้ลงเยี่ยมให้กำลังใจ และให้คำแนะในการปฎิบัติตัวที่ถูกต้อง พร้อมข้อควรระวัง เมื่อวันที่ 10 มี.ค.2563 และ 5.สาธารณสุขอำเภอเมืองสระแก้ว/ปลัดอำเภอ/ตำรวจ สภ.เมืองฯ/จนท.เทศบาล ลงเยี่ยมบ้านพ่อ/แม่/สามีของผู้หญิงคนดังกล่าว ลงเยี่ยมบ้าน เมื่อ 12 มี.ค.63 ไม่ได้พาตัวไปหมดทั้งบ้านตามที่แชร์กันแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว ยังระบุด้วยว่า ได้ขอความร่วมมือสามีดังนี้ โดยให้ส่งอาหาร ด้านหน้าประตูรั้วและเดินทางกลับ ,ขอความร่วมมือสามีให้เก็บตัวที่บ้าน หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในที่สาธารณะ ในชุมชน ตลาด และร้านสะดวกซื้อ ,ขอให้พ่อแม่ ช่วยดูแลและเป็นคนจัดหาอาหารแทน รวมทั้งผู้หญิงคนดังกล่าว เป็นแค่ผู้ที่เดินทางจากประเทศเสี่ยง (แต่ไม่ใช่เมืองเสี่ยงสูง) เป็นคนท่าเกษม เป็นคนสระแก้วบ้านเรา มีความเข้าใจต่อสถานการณ์และยินดีกักตนเองตามมาตรการของทางราชการ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปตรวจสุขภาพวัดไข้ทุกวัน ไม่ได้ป่วย มีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่มีไข้ “หัวอกเขา หัวอกเรา” สังคมควรเข้าใจ ให้กำลังใจและดูแล ไม่ให้เขารู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของชุมชน ซึ่งจะเกิดผลลบมากกว่า จึงขอความร่วมมือ อย่าแชร์ข่าวคลาดเคลื่อน ที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง #fakenews และแชร์อย่างมีสติ
——————————
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: