สระแก้ว – ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เตรียมเปิดจุดผ่อนปรนทางการค้า 2 จุดที่ช่องตาพระยา-หนองปรือ และด่านผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน ให้รถขนส่งสินค้าสามารถข้ามแดนได้ 15 ก.ค.นี้ รวมทั้งผู้ค้าตลาดโรงเกลือสามารถเข้ามาดูสินค้าได้วันละ 50 คัน ส่วนการแก้ปัญหาการลักลอบข้ามชายแดนของชาวกัมพูชาผิดกฎหมาย ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลอย่างใกล้ชิด
เมื่อวันที่ 13 ก.ค.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรพันธ์ สุวัณณุสส์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว เปิดเผยว่า ขณะนี้จังหวัดสระแก้วซึ่งปกติมีด่านชายแดนถาวรอยู่ 2 จุดคือที่บ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ และบ้านเขาดิน อ.คลองหาด ซึ่งที่ผ่านมาด่านคลองลึก ปัจจุบันเปิดให้เข้าออกเฉพาะการส่งสินค้าข้ามแดนไปขายสินค้าได้ ส่วนบ้านเขาดินเป็นการเปิดให้รถขนส่งหมูข้ามแดน ซึ่งทางกัมพูชาขาดแคลนหมูในการบริโภค จึงเปิดให้นำออกได้ โดยขณะนี้รัฐบาลได้ผ่อนคลายกำหนดให้จังหวัดต่าง ๆ สามารถพิจารณาเปิดเพิ่มได้ตามความจำเป็น โดยฝั่งไทยได้ส่งหมูและผลไม้ออกไปกัมพูชา ส่วนสินค้าของกัมพูชาที่เข้ามา เช่น มันสำปะหลัง นำเข้าได้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เริ่มพิจารณาแล้วเพื่อให้สามารถค้าขายได้และไม่เสียโอกาส จึงพิจารณาเปิดจุดผ่อนปรนตาพระยาและจุดผ่อนปรนบ้านหนองปรือ อ.อรัญประเทศ เพิ่มเติม รวมทั้งจุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน ให้รถขนส่งสินค้าสามารถผ่านเข้า-ออก ได้เช่นเดียวกับด่านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ นายวรพันธ์ กล่าวด้วยว่า กรณีการเปิดให้ผู้ค้าขายในพื้นที่ตลอดโรงเกลือ สามารถเข้ามาได้ด้วยนั้น เป็นการเปิดโดยให้ปฏิบัติในลักษณะเดียวกับการขนส่งสินค้าข้ามแดน โดยมีคนขับและคนประจำยานพาหนะ ไม่เกิน 2 คน ตามข้อกำหนดของรัฐบาลที่ผ่อนผันให้ ดังนั้น เมื่อเราได้มีการหารือระหว่างทางจังหวัดสระแก้วและจังหวัดบันเตียเมียนเจย ,สระแก้วกับจังหวัดพระตะบอง รวมทั้งหน่วยงานความมั่นคงทุกภาคส่วน กองกำลังบูรพา เพื่อผ่อนปรนให้ยานพาหนะทั้งจากไทยและจากฝั่งกัมพูชา เข้ามาค้าขายได้ แต่ได้เฉพาะยานพาหนะ คนประจำยานพาหนะและคนขับเท่านั้น
ข่าวน่าสนใจ:
สำหรับพื้นที่ตลาดโรงเกลือ ซึ่งจะมีเจ้าของร้านหรือผู้เช่าค้าขายส่วนใหญ่เป็นชาวกัมพูชาที่มีอยู่หลายตลาด ก็จะให้เข้ามาได้ด้วยยานพาหนะ ไม่ใช่เดินวอร์คอินเข้ามาปกติ ไม่ใช่ว่าให้เข้ามาแล้วนั่งขายของ ได้มีการพูดคุยกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยแล้วว่า เข้ามาได้เฉพาะรถและยานพาหนะ คนขับและคนประจำยานพาหนะไม่เกิน 2 คน ตามข้อกำหนดของรัฐบาล โดยให้เข้ามาดูสินค้าเสร็จแล้วก็รีบกลับไปโดยเร็ว โดยจะเริ่มในวันพุธที่ 15 ก.ค.นี้ เริ่มตั้งแต่ประมาณ 08.00-10.00 น.จะเร่งให้เดินทางเข้ามาและจัดกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลการเข้า-ออก อย่างใกล้ชิด โดยแบ่งเป็นกลุ่มตลาดทยอยกันเข้ามาในแต่ละวันด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว กล่าวถึงปัญหาการลักลอบเข้าประเทศของชาวกัมพูชาว่า เนื่องจากเรามีพื้นที่กว้างถึง 165 กม.ได้พุดคุยกับหน่วยงานที่ดูแลแนวชายแดน โดย ผบ.กกล.บูรพา ลงพื้นที่ด้วยตนเอง มีการจับกุมกันทุกวัน ซึ่งพยายามป้องกันสุดความสามารถ รวมทั้งแม่ทัพภาคที่ 1 ได้ลงพื้นที่และกำชับเจ้าหน้าที่เข้มงวด ซึ่งปัญหาการลักลอบรุนแรงมากขึ้นหรือไม่ เนื่องจากมีการผ่อนคลาย แรงงานจึงอยากกลับเข้าไปทำงาน แต่เมื่อเรายังไม่ได้เปิดก็ต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน ไม่เฉพาะฝ่ายรัฐอย่างเดียว แม้กระทั่งฝ่ายพลเรือนประชาชนก็ร่วมมือกันเป็นหูเป็นตาเรื่องนี้ด้วย
สำหรับสถานการณ์การหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายของแรงงานชาวกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมากองกำลังบูรพามีการจับกุมและผลักดันมาถึง 16,000 คน แม้เจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำตามแนวชายแดน ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 12 และเจ้าหน้าที่ทหารพรานกรมทหารพรานที่ 12-13 ตลอดระยะทาง 165 กม. ได้พยายามตั้งด่านตรวจเข้มงวดโดยเฉพาะพื้นที่ติดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยว่า ตลอดช่วงที่มีการปิดด่านชายแดนตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.63 เป็นต้นมา มีการจับกุมการลักลอบเข้าประเทศทุกวัน ๆ ละกว่า 100 คน หากไม่พบผู้นำพา เจ้าหน้าที่จะใช้วิธีทำบันทึก ตรวจคัดกรองและผลักดันกลับประเทศทันที
นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชาเข้ามาในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3-4 พื้นที่ ประกอบด้วย ชายแดนฝั่ง อ.คลองหาด (คลองหาด-ทับพริก) , ฝั่ง อ.อรัญประเทศ (ท่าข้าม) , ฝั่ง อ.โคกสูง (โนนหมากมุ่น) และ ฝั่ง อ.ตาพระยา (ตลอดแนว) มีนายหน้าฝั่งประเทศกัมพูชาเป็นตัวกลางประสานกับนายหน้าหรือผู้นำพาคนไทย เพื่อจัดหาแรงงานตามใบสั่งจากพื้นที่ชั้นใน หรือพื้นที่ที่แรงงานประสงค์จะเดินทางไป เนื่องจากเคยเป็นลูกจ้างทำงานมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์โรคโควิด-19 โดยเสียค่าใช้จ่ายกรณีสามารถเดินทางไปถึงจุดหมาย ตั้งแต่ 3,000-4,000 บาท ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ จ.ระยอง ,ชลบุรี ,สมุทรปราการ, กรุงเทพฯ ,สมุทรสาคร และปริมณฑล
ทั้งนี้ แรงงานจะถูกส่งให้เดินข้ามชายแดนตามช่องทางธรรมชาติ โดยมีคนนำพาเดินลัดเลาะไปยังจุดนัดพบตั้งแต่ช่วงค่ำ เพื่อมารวมตัวในจุดนัดพบกลางดึก บางครั้งต้องเดินลัดเลาะกันมาหลายกิโลเมตร หากไม่มีเจ้าหน้าที่มาตรวจพบเสียก่อน จะมีรถยนต์มารับเข้าไปยังพื้นที่ชั้นใน ส่วนใหญ่เป็นรถตู้ รถยนต์กระบะหรือเก๋ง และมักใช้เส้นทางเลี่ยงด่านตรวจเป็นหลัก โดยฝั่ง อ.คลองหาดและรอยต่อ อ.อรัญประเทศ มีกลุ่มของ นาย ต. ผู้กว้างขวางใน อ.วังน้ำเย็น เป็นกลุ่มขนแรงงานต่างด้าวกลุ่มใหญ่ที่สุด และถูกจับกุมน้อยเพราะส่วนใหญ่มีการเคลียร์เส้นทางก่อนล่วงหน้า
แรงงานชาวกัมพูชารายหนึ่ง กล่าวภายหลังถูกจับกุมว่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายหัวละ 3,000 บาทเพื่อจะเข้ามาทำงานที่เดิมในเขตกรุงเทพและปริมณฑล จากเดิมที่เข้ามาตามช่องทางปกติแบบถูกกฎหมาย แต่เมื่อมีการปิดด่านชายแดนจึงต้องลักลอบเข้ามา โดยพากันเดินข้ามชายแดนลัดเลาะป่าอ้อยเข้ามาในพื้นที่ อ.คลองหาด จนมาถึงพื้นที่ ต.เบญจขร และมีรถยนต์มารับกลางดึก เพื่อจะไปทำงานกับนายจ้างรายเดิม แต่ก็มาถูกจับกุมเสียก่อน
ส่วน นายธัม อายุ 45 ปี แรงงานชาวกัมพูชา ซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่ จ.สระแก้ว กล่าวว่า ญาติชาวกัมพูชาหลายคนอยากจะเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยมาก เพราะฝั่งโน้นไม่มีงานทำ ส่วนใหญ่ไม่มีเงินและไม่มีรายได้ จึงอยากให้มีการเปิดด่านเร็ว ๆ บางคนจึงเลือกใช้วิธีการจ่ายเงินให้นายหน้าเพื่อลักลอบเข้าประเทศไทย ถ้าถูกจับก็จะถูกส่งตัวผลักดันกลับประเทศ แต่ถ้าไม่ถูกจับก็ได้มาทำงานกับนายจ้างเดิมหรือนายจ้างใหม่ และต้องระวังว่า จะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบเพราะหากเจ้าหน้าที่ตรวจพบว่า หนังสือเดินทางหรือพาสปอร์ตไม่ได้ประทับตราเข้าอย่างถูกต้อง ก็จะถูกจับกุมอีก
——————————-
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: