สระแก้ว – คณะธรรมาภิบาลจังหวัดสระแก้ว ลงพื้นที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว หลังรับข้อร้องเรียนกรณีชาวบ้านคัดค้านการเปลี่ยนนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นนิคมสำหรับโรงงานไฟฟ้าขยะจากกากอุตสาหกรรม ล่าสุด บริษัทที่ปรึกษาฯเตรียมรุกจัดเวทีแสดงความคิดเห็นต้นเดือน เม.ย.นี้ ท่ามกลางเสียงต้านของชาวบ้าน เตรียมลุกฮือปิดโรงแรม
เมื่อวันที่ 13 มี.ค.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีที่ชาวบ้านในพื้นที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ยื่นเรื่องร้องเรียนการดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ทำให้ชุมชนเกิดความขัดแย้งและแตกแยก กรณีการขอแก้ไขอีไอเอ จากนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว ไปเป็นนิคมอุตสาหกรรมกำจัดกากอุตสาหกรรม ต่อประธานคณะธรรมาภิบาลจังหวัดสระแก้ว (กธจ) หลังจากการนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ได้เชิญผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมประชุม ที่นิคมอุตสาหกรรมป่าไร่ โดยจะขอแก้ EIA จากอุตสาหกรรมสีเขียวที่ไร้มลพิษ มาเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจากมลพิษและมลภาวะทางอากาศ ทั้งการฝังกลบขยะ ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กชั้นกลางและชั้นปลาย ,กลุ่มพลังงานไฟฟ้าทางเลือก ได้แก่ โรงไฟฟ้าจากเชื้อเพลิง RDF, โรงงานผลิตหม้อเก็บพลังงานไฟฟ้า หรือหม้อกำเนิดไฟฟ้าชนิดแห้ง และกิจการบริการและสาธารณูปโภค ที่เกี่ยวกับการนำกากอุตสาหกรรม มาใช้ประโยชน์และแปรรูป เพื่อเป็นพลังงานและเชื้อเพลิงทดแทน รวมทั้งมีโรงงานประกอบกิจการเกี่ยวกับการคัดแยกสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ประเภท 105 ,โรงงานฯประเภท 106 และเตาเผาของเสียอุตสาหกรรมและหลุมสำหรับฝังกลบขี้เถ้าจากเตาเผา ประเภท 101
ทั้งนี้ หลังจากมีชาวบ้านคัดค้านกรณีดังกล่าว ทางนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว ได้ว่าจ้างบริษัทเทคนิคสิ่งแวดล้อมไทยจำกัด เข้ามาจัดการประชุมตามหมู่บ้าน เพื่อนำเสนอแก้ไข EIA เมื่อปี 2563 โดยขอสร้างโรงงานไฟฟ้าขยะอย่างเดียว ไม่มีโรงงานประเภท 101 ,105 และ 106 และจะนำขี้เถ้าที่เผาจากกากอุตสาหกรรมที่เผาแล้วนำไปทิ้งที่อื่น ซึ่งชาวบ้านต่างไม่เห็นชอบ ที่จะมีการขอแก้ไขจากอุตสาหกรรมสีเขียวไร้มลพิษ มาเป็นอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงจากมลพิษและมลภาวะทางอากาศ ทั้งการฝังกลบขยะ จึงไม่มีการลงประชามติว่า เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุด นายสาโรจน์ ทองพรหม รองประธานคณะธรรมาภิบาลจังหวัดสระแก้ว (กธจ.) พร้อมด้วย คณะกรรมการ รวม 5 คน ได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาดังกล่าวจากตัวแทนชาวบ้าน 9 หมู่บ้าน จำนวนเกือบ 20 คน ในนามคณะธรรมาภิบาลจังหวัดสระแก้ว เพื่อนำเสนอต่อประธาน กธจ.และที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี โดยตัวแทนชาวบ้านที่เข้าร่วมพูดคุย ให้ข้อมูลเสนอขอให้กระบวนการจัดการขยะเป็นการดำเนินการโดยท้องถิ่น หากเป็นขยะของตัวเองยินดีรับได้ ไม่ใช่เป็นการเคลื่อนย้ายขยะมาจากที่อื่น ขณะที่ในชุมชนที่มีขยะอยู่ มีจำนวนมากพอที่จะมีการตั้งโรงไฟฟ้าได้หรือไม่ ที่ผ่านมาบริษัทเอกชนได้พาชาวบ้านไปดูงานที่ จ.สระบุรี จำนวนประมาณ 150 คน ซึ่งชาวบ้านที่ไปอ้างว่า มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และเฉย ๆ ซึ่งการเดินทางไปครั้งนั้นทางบริษัทที่ปรึกษาฯ มีเบี้ยเลี้ยงให้ทุกคนด้วย
ทางด้าน นายสมิทธิ์ เย็นสบาย หนึ่งในคณะธรรมาภิบาลจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า จากการพูดคุยครั้งนี้ ชาวบ้านยังยืนยันว่า เขาไม่ต้องการโรงไฟฟ้าขยะ เนื่องจากอีไอเอเดิม ไม่ได้พูดถึงเรื่องการจัดการขยะอุตสาหกรรม และยืนยันไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนอีไอเอ รวมทั้งที่ผ่านมาทางบริษัทที่ปรึกษาฯ ได้ทำหนังสือและเอกสารประกอบการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างรายงานและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในรายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด โครงการในรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดสระแก้ว (ครั้งที่ 1) ตั้งอยู่ที่ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แจกชาวบ้านไปแล้วบางส่วน พร้อมทั้งเชิญชาวบ้านหมู่บ้านละ 10 คน ไปประชุมรับฟังความคิดเห็นฯ ที่โรงแรมเดอะเวลโล อรัญประเทศ ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม นายสมิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ชาวบ้านไม่เห็นด้วยและอยากให้มีจัดการประชุมที่เทศบาลตำบลป่าไร่หรือวัดป่าไร่ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เข้าร่วมรับฟัง ไม่ใช่จัดตั้งหรือตั้งคนเพียง 10 คน ไปร่วมประชุม ขณะนี้ชาวบ้านได้ยื่นหนังสือคัดค้านการจัดเวทีแสดงความคิดเห็นดังกล่าวแล้ว หากไม่มีการดำเนินการหรือปรับเปลี่ยนสถานที่ ชาวบ้านจะรวมตัวไปคัดค้านที่โรงแรมดังกล่าวแน่นอน ทั้งนี้ ชาวบ้านยังร้องขอให้คณะธรรมาภิบาลจังหวัด (กธจ.) เป็นตัวแทน เพื่อนำผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาพุดคุยหาแนวทางแก้ไข และการศึกษากรณีความจำเป็นที่จะต้องมีโรงไฟฟ้าขยะทั้ง จ.สระแก้ว หรือไม่ โดยมีนักวิชาการที่เป็นกลางเข้ามาศึกษาอย่างเป็นระบบด้วย พร้อมทั้งยืนยันไม่ต้องการให้เปลี่ยนแปลงอีไอเออย่างเด็ดขาด โดยที่ผ่านมาชาวบ้านได้รวบรวมรายชื่อผู้คัดค้านการดำเนินการของนิคมอุตสาหกรรมป่าไร่ ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย 63 ถึง 13 ก.ย 63 มีจำนวนผู้คัดค้านจากหมู่บ้านต่าง ๆ ในตำบลป่าไร ประมาณ 1,238 คน
—————————–
