X

ชาวบ้านป่าไร่ใหม่ยื่นคำสั่งศาลขอเข้าดำเนินการที่ดินชายแดน ระบุเขมรรุกพื้นที่ไทยอ้างสิทธิ์ทหารไทยทำอะไรอยู่

สระแก้ว – ชาวบ้านป่าไร่ใหม่ ม.8 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เข้ายื่นคำสั่งศาลเพื่อขอเข้าดำเนินการที่ดินเอกสารสิทธิ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุปัจจุบันชาวกัมพูชารุกเข้าไปอยู่อาศัยในพื้นที่ไทยอ้างสิทธิ์เต็มพื้นที่ โดยเฉพาะบ้านหนองดอและบ้านน้อยป่าไร่เดิม จนประชิดติดแนวเส้น MOU ปี 43 โดยเจ้าหน้าที่ทหารและหน่วยความมั่นคงของไทยไม่เข้าไปดำเนินการใด ๆ พอคนไทยเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินของตนเองกลับถูก ตชด.กัมพูชาเข้ามาสั่งห้าม ขณะเดียวกัน รอง.ผบ.ทหารสูงสุด ลงพื้นที่สระแก้ว เพื่อรับปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณแนวชายแดน หลังชาวบ้านยื่นร้อง ผบ.สส.ไปก่อนหน้านี้

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง พล.อ.สุภโชค ธวัชพีระชัย รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการทหารสูงสูด ให้เดินทางลงพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการตรวจติดตามความคืบหน้าของการก่อสร้างอาคารด่านศุลกากรอรัญประเทศ ที่บริเวณสะพานข้ามชายแดนบ้านหนองเอี่ยน-สตรึงบท และการนำเข้าแรงงานกัมพูชาแบบ MOU ที่ใช้พื้นที่ จ.สระแก้ว เป็นทางผ่านและศูนย์กักกันแบบ OQ ด้วย รวมทั้งประเด็นปัญหาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งปัจจุบันราษฎรที่มีเอกสารสิทธิ์เรียกร้องขอเข้าไปดำเนินการกับที่ดินของตนเอง โดยเฉพาะพื้นที่ ม.7 ม.8 และ ม.9 ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ ตชด.กัมพูชากีดกันและอ้างสิทธิ์เป็นพื้นที่ทับซ้อน ทั้ง ๆ ที่บริเวณดังกล่าวชาวบ้านมีคำสั่งศาลให้เข้าดำเนินการจัดทำผังแผนที่ข้อพิพาท เพื่อทำการออกโฉนดแล้ว โดยไม่ได้รับความร่วมมือจากฝ่ายทหารและฝ่ายความมั่นคงของไทย เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นเส้นทางและจุดนำเข้า-ส่งออก ของกลุ่มธุรกิจสีเทา รวมถึงแรงงานต่างด้าวชาวกัมพูชา ใช้เป็นช่องทางธรรมชาติหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย

ทั้งนี้ พล.อ.สุภโชค ธวัชพีระชัย รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รับฟังปัญหาพื้นที่ทับซ้อนบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า ปัญหาเนื่องจากทั้งสองฝ่ายใช้เอกสารอ้างอิงแนวเส้นเขตแดนแตกต่างกัน โดยฝ่ายไทยอ้างอิงตามบันทึกด้วยวาจาปี ค.ศ.1909 และบันทึกวาจาปี ค.ศ.1919 ซึ่งกำหนดให้แนวเส้นเขตแดนเป็นเส้นตรงจากบริเวณหลักเขตแดนที่ 49 ไปยังหลักเขตแดนที่ 48 ขณะที่กัมพูชาอ้างข้อมูลว่า ต้องเป็นไปตามแผนที่คณะกรรมการปักปันมาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งกำหนดให้แนวเขตแดนไปตามคลองลึก ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิ์ประมาณ 17 ตารางกิโลเมตร โดยบริเวณนี้ชุดสำรวจร่วมทั้งสองฝ่ายได้มีการสำรวจสภาพและที่ตั้งหลักเขตแดนตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดยทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงในที่ตั้งของหลักเขตแดนที่ 49 และหลักเขตแดนที่ 50 ได้ตรงกัน โดยปัญหานี้ได้รายงานให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อพิจารณาแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ขณะที่หน่วยเก็บกู้ระเบิดฯ ได้ชี้แจงแนวทางการเข้าเก็บกู้ตรวจสอบวัตถุระเบิดในพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว ซึ่งยังมีปัญหาเรื่องการอ้างสิทธิ์รอการปักปันเขตแดน จึงได้หยุดการปฏิบัติงานโดยศูนย์ทุ่นระเบิดฯ ได้ประสานไปยังฝั่งกัมพูชาซึ่งกัมพูชายังเงียบอยู่ และรายงานให้ศูนย์ปฏิบัติการทุนระเบิดแห่งชาติรับทราบ

ทางด้าน นายชุมพล วัฒนพรรค อยู่บ้านเลขที่ 188 หมู่ที่ 8 ต.ช่องกุ่ม อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว หนึ่งในครอบครัวของราษฎร”บ้านน้อยป่าไร่”ในอดีต และเป็นหนึ่งในเจ้าของที่ดินบริเวณพื้นที่พิพาทชายแดนไทยกัมพูชา กล่าวว่า ชาวบ้านน้อยป่าไร่เข้ามาอยู่กินออกเอกสารสิทธิ์ขอใบจองจากกรมที่ดินและทำกินมาจนถึงปี 2512 ได้มีทหารเข้าไปตรวจสอบแนวเขตโดยมีนายหยั่น ขากระโทก นำทหารชุดนั้นเข้าไปสำรวจหาหลักเขตอยู่เยื้องกับบ้านหนองดอ ทางทิศตะวันออก หลังพบแล้วก็กลับเข้ามาที่หมู่บ้านน้อย พร้อมกับคุยกับชาวบ้านน้อยป่าไร่และรับรองว่า บ้านน้อยป่าไร่อยู่ในเขตประเทศไทย ไม่ใช่ข้ามฝั่งไปทางกัมพูชา ชาวบ้านก็ดีใจและมั่นใจว่า ตัวเองอยู่ในประเทศไทย จึงทำกินกันมาตลอดจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ.2520 เกิดภัยสงครามโดยเขมรแดงเข้ามาโจมตีและเผาหมู่บ้าน 3 แห่ง มีบ้านน้อยป่าไร่ บ้านหนองดอและบ้านกกค้อ เจ้าหน้าที่ได้ให้ชาวบ้านออกจากพื้นที่และไม่ยอมให้กลับเข้าไปทำกินอีก ซึ่งก่อนออกจากพื้นที่ก็บอกกับชาวบ้านว่า หลังสงครามสงบจะให้เข้าทำกินเหมือนเดิม จนกระทั่งถึงปี 2565 ก็ยังไม่มีวีแววว่าจะได้กลับเข้าไปทำกินอีก จึงได้รวมตัวกันเข้าร้องเรียนกับหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งชุดของหมู่บ้านน้อยป่าไร่ ที่มีเอกสาร ประกอบด้วย นายทองมี นายสาลี นายพันธ์ นายลี และนายโกสีย์ ส่วนบ้านหนองดอ มีของคุณนายสีนวล นายหยั่น จ่าหละ ซึ่งตอนนี้เขมรได้เข้ามายกหมู่บ้านอยู่อาศัยเต็มพื้นที่หมดแล้ว

นายชุมพล เล่าอีกว่า เส้น MOU หรือเส้นสมมุติที่ไทย-กัมพูชาได้อ้างไว้ ตอนนี้ได้ข้ามหมู่บ้านทั้งสองหมู่บ้าน เลยหมู่บ้านน้อยป่าไร่เข้ามาอีก 270 เมตร แล้วตอนนี้เขมรยังอ้างสิทธิ์ไปถึงถนนศรีเพ็ญ ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่า ทางการจะแก้ไขอย่างไร เพราะว่าขณะนี้เขมรได้ลุกล้ำจนชิดเส้น MOU ฝั่งไทยแล้ว จึงต้องการให้ทุกหน่วยงานช่วยแก้ไขปัญหา มิฉะนั้นเราจะเสียดินแดนไปมากกว่านี้อีก

“ขณะนี้เราไปร้องเรียนทุกหน่วยงาน แล้วก็เกิดเหตุการณ์บุกรุกพื้นที่ของผม ก็ได้เกิดการฟ้องขับไล่ในพื้นที่โดยศาลได้สั่งให้ผมมาทำผังพิพาท โดยรอคำสั่งศาลครั้งที่ 2 เพื่อเข้าดำเนินการ และปัญหาที่เกิดขณะนี้มี ตชด.กัมพูชาเข้ามาถึงจุดที่เป็นประเทศไทย มาไล่ชาวบ้านมาไล่พวกผม รวมทั้งของนายสาลี แปลงที่มีการไถทำมาแล้วเป็นเวลา 2-3 เดือน เมื่อก่อนทำได้ ณ ปัจจุบัน ตชด.กัมพูชาไม่ให้เข้ามาทำ ห้าม ซึ่งตรงนี้อยู่ในเขตประเทศไทย จากเดิมทีเขมรอ้างเส้น MOU ซึ่งแต่เดิมของไทยคือ เขตแดนเลยแนวคลองคูเลต ซึ่งทางทหารย่อมรู้ดี จึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขเรื่อง MOU แล้วให้ชาวบ้านทุกคนที่มีเอกสารใบจอง น.ส.2 ได้กลับเข้าทำกินในพื้นที่เดิมของตนเอง ซึ่งได้เสียสิทธิ์มานานกว่า 40 ปี

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้ารองผู้บัญชาการทหารสูงสุดจะเดินทางลงพื้นที่ พ.อ.ยุทธพล สุจริต หน่วยแม่กองสนาม กองสนามสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา กรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้ลงพื้นที่พิพาทโดยมาบรรยายเรื่อง แผนที่เขตขายแดนไทยกับประเทศต่าง ๆ พร้อมมอบอุปกรณ์กีฬา พัดลม หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ ให้กับชาวบ้าน ม.2 บ.ป่าไร่ โดยมีผู้ใหญ่บ้าน ม.2 ต.ป่าไร่ เป็นผู้ให้ข้อมูล ทั้งๆ ที่เกษตรที่เดือดร้อนและอยู่ติดกับชายแดนมีเพียง ม.7 ,ม.8 และหมู่ 9 เท่านั้น ที่อยู่ติดกับชาวแดนไทย-กัมพูชา ล่าสุด เมื่อวานนี้ (14 มี.ค.) ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวได้นำคำสั่งศาลล่าสุดไปมอบให้กับผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1205 เพื่อขอเข้าไปดำเนินการทำผังแผนที่พิพาท ต่อเนื่องอีกครั้ง พร้อมกับพาผู้สื่อข่าวไปชี้จุดที่ตั้งของที่ดินของชาวบ้านกลุ่มดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่ริมถนนศรีเพ็ญ ห่างจากพื้นที่ตลาดโรงเกลือและอำเภออรัญประเทศไม่กี่กิโลเมตร

—————————-

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน

Picture of ธนภัท กิจจาโกศล

ธนภัท กิจจาโกศล

"ธนภัท กิจจาโกศล" ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สระแก้ว "ประสบการณ์ยาวนานกับงานสื่อสารมวลชนระดับประเทศ ในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ จับงานด้านข่าว สกู๊ปและรายงานพิเศษ กว่า 22 ปี มุ่งสื่อสารความจริงและข่าวสารที่เป็นธรรม สู่ประชาชนในภูมิภาค ด้วยจรรยาบรรณของฐานันดรที่ 4 เพื่อสร้างความโปร่งใสการรับรู้ข่าวสารของสังคม"