สระแก้ว – สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯและห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ร่วมกับบริษัทฟิลิปส์ สนับสนุนโครงการหัวใจสัญจร ออกหน่วยตรวจคัดกรองผู้ป่วยโรคหัวใจ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจในพื้นที่ห่างไกล จ.สระแก้ว กว่า 100 ราย
เมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 21 ต.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ห้องประชุมชั้น 4 ตึกผู้ป่วยนอก รพ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ ดำเนินงานโครงการซีเอสอาร์เพื่อช่วยเหลือสังคม สนับสนุนการเข้าถึงระบบสาธารณสุขให้กับคนไทยโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ ซึ่งปี 2565 ได้ร่วมกันจัด”โครงการหัวใจสัญจร” ด้วยการจัดหน่วยออกตรวจโรคหัวใจโดยแพทย์เฉพาะทาง และเครื่องตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจขั้นสูง พร้อมระบบการจัดการข้อมูลภาพและรายงานผลสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยมี นพ.ประภาส ผูกดวง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสระแก้ว พญ.กนกพร ทองเลื่อน รอง ผอ.รพร.สระแก้ว ร่วมกับทีมแพทย์สมาคมฯ ทีมแพทย์ รพ.จุฬาและทีมเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เกือบ 50 ชีวิต ร่วมให้บริการแก่ผู้ป่วยโรคหัวใจของโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จำนวนกว่า 100 ราย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ
ทั้งนี้ สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ข้อมูลว่า ปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด ถือเป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตทั่วโลก โดยคร่าชีวิตผู้คนไปประมาณ 17.9 ล้านคนต่อปี หรือประมาณ 32% ของสาเหตุการเสียชีวิตทั่วโลก โดย 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ เกิดขึ้นก่อนอายุ 70 ปี สำหรับในประเทศไทย อัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจขาดเลือด ตั้งแต่ช่วงปี 2563 อยู่ที่ 21,309 รายและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ในขณะที่จำนวนแพทย์ก็ยังไม่เพียงพอต่อการดูแลผู้ป่วย ซึ่งจากสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ระบุว่า ในปี พ.ศ.2564 มีสัดส่วนเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 1,680 คน อีกทั้ง จำนวนแพทย์ต่อประชากรไม่ได้กระจายเท่ากันทุกพื้นที่อย่างในกรุงเทพมหานคร อัตราแพทย์ 1 คนต่อประชากรเฉลี่ย 515 คน ในขณะที่จังหวัดเชียงใหม่ อัตราแพทย์ 1 คนต่อประชากร 1,144 คน จังหวัดกระบี่ อัตราแพทย์ 1 คนต่อประชากร 2,977 คน จังหวัดสระแก้ว อัตราแพทย์ 1 คนต่อประชากรเฉลี่ย 3,483 คน เป็นต้น
รศ.นพ.สุพจน์ ศรีมหาโชตะ นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์หลักของสมาคมฯ นอกจากการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคหัวใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์แล้ว เรายังให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือประชาชนให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและการรักษาโรคหัวใจอย่างถูกต้อง สมาคมฯ จึงร่วมมือกับมูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในการจัดโครงการหัวใจสัญจร ขึ้น โดยเป็นตัวกลางในการนำทีมแพทย์และบุคลากรมาร่วมในโครงการ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยและเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคหัวใจให้รับรู้ในวงกว้าง ซึ่งต้องบอกว่า โรคหัวใจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเกิดจากพันธุกรรม ความเครียด ไม่ออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ หรืออาจเกิดจากผลของโรคอื่น เช่น โรคเบาหวาน, โรคความดันโลหิตสูง และการใช้ยาบางชนิด เป็นต้น ซึ่งในแต่ละปี ภาครัฐและประชาชนสูญเสียต้นทุนมากมายด้านโรคหัวใจสูงมาก ข้อมูลกรมการแพทย์ ระบุว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคหัวใจถึง 6,906 ล้านบาทต่อปี
“โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นภาระด้านสุขภาพที่ต้องการความจำเป็นเร่งด่วน ในการได้รับความช่วยเหลือโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางสถานการณ์ที่โควิด-19 ยังคงระบาดอยู่ ทำให้มีผู้ป่วยรอคอยการตรวจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้ป่วยโรคหัวใจมีความเสี่ยงต่ออาการหนัก หากติดโควิด-19 โดยอาจมีอาการหัวใจวายหรือภาวะหัวใจล้มเหลว เนื่องจากการติดเชื้อไวรัสทำให้หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น ดังนั้น ทางสมาคมฯ มุ่งมั่นในการช่วยเผยแพร่ความรู้เชิงป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจในคนไทย รวมทั้งสนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยในระยะแรก ๆ อย่างถูกวิธี เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการรักษาทั้งด้านค่าใช้จ่ายและเวลาด้วยเช่นกัน” นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าว
ทางด้าน ผู้ช่วย ศ.พญ.สมนพร บุณยะรัตเวช สองเมือง หัวหน้าห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ ศูนย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรคหัวใจมีความรุนแรงและซับซ้อน จึงต้องอาศัยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการตรวจวินิจฉัย เนื่องจากโรคหัวใจมีหลายประเภท อาทิ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งการรักษาโรคหัวใจก็จะมีแนวทางที่แตกต่างกัน ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนต้น คือการตรวจที่มีประสิทธิภาพ เแพทย์สามารถแยกประเภทและความรุนแรงของโรคหัวใจ นำไปสู่การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การตรวจที่จัดได้ว่าเป็นหนึ่งในการตรวจที่สำคัญ คือการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ หรือ Echocardiography หรือเรียกย่อ ๆ ว่า Echo โดยใช้หลักการของคลื่นอัลตราซาวน์ผ่านหน้าอกผู้ป่วยไปยังหัวใจ สามารถตรวจการทำงานและโครงสร้างของหัวใจ ได้แก่ การบีบและการคลายตัวของหัวใจ การปิดเปิดของลิ้นหัวใจ การตรวจลิ้นหัวใจรั่วหรือตีบ การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ
อย่างไรก็ตาม สำหรับเครื่อง Echo สามารถเคลื่อนย้ายได้และเป็นการตรวจที่มีความปลอดภัย ไม่มีรังสีที่เป็นอันตราย ผู้ป่วยตั้งครรภ์ก็สามารถตรวจได้โดยไม่มีอันตรายต่อทารกในครรภ์ ดังนั้น จึงได้เลือกวิธีการตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจมาใช้ในการออกหน่วยในครั้งนี้ นอกจากนี้ ทางบริษัทฟิลิปส์ยังได้นำระบบจัดการข้อมูลภาพและรายงานผล มาช่วยการตรวจดังกล่าว และเมื่อได้รับผลการตรวจแล้ว แพทย์สามารถพิจารณาข้อมูล เพื่อให้ได้แนวทางการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย สำหรับการรักษาและกระบวนการส่งต่อผู้ป่วย ไปสู่การรักษาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ขณะเดียวกัน นายวิโรจน์ วิทยาเวโรจน์ ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่บริษัทเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพ เรามุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตและพัฒนาความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น การช่วยเหลือสังคมและสนับสนุนการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของเรา ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ร่วมสนับสนุนหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ มากมาย เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจ เพราะเราเล็งเห็นถึงความสำคัญของโรคหัวใจและหลอดเลือดที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปีในประเทศไทย ดังนั้นเราจึงได้ทำงานร่วมกับบุคลากรทางการแพทย์ด้านโรคหัวใจจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยฯ และจากห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ฯ เพื่อนำเครื่องตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจขั้นสูง และระบบการจัดการข้อมูลภาพและรายงานผลสำหรับโรคหลอดเลือดหัวใจ (ISCV) มาให้บริการผู้ป่วยที่จังหวัดสระแก้ว จำนวน 5 เครื่อง ราคาเครื่องละประมาณ 6 ล้านบาท เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
—————————-
