ปราจีนบุรี – ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปราจีนบุรี เรียกหนุ่มวัย 43 ปี ซึ่งถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีเกือบ 500 ล้านบาท มาพูดคุยและแนะนำให้ไปแจ้งความเพื่อเริ่มต้นต่อสู้คดีและตรวจสอบบุคคลที่พัวพันกับเรื่องนี้ทั้งหมด พร้อมร้องทุกข์กับ ปปง.ด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า กรณีนายไพบูลย์ ศรีทอง อายุ 43 ปี ชาวบ้านใน จ.ปราจีนบุรี ถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษี 483 ล้านบาท ซึ่งทางสรรพากรแจ้งยอดที่ไม่ได้ยื่นเสียภาษีให้ทราบ แต่เจ้าตัวไม่ไปชำระภาษีหลายปีนั้น จนนายไพบูลย์ ศรีทอง ได้ร้องทุกข์ผ่านสื่อเมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุด วันนี้ (16 ม.ค.) นายไพบูลย์ได้เดินทางเข้าพบกับ พล.ต.ต.นราเดช กลมทุกสิ่ง ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี ที่ห้องทำงาน โดยที่นายไพบูลย์เดินทางมากับภรรยาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ทั้งนี้ พล.ต.ต.นราเดช ได้เรียกพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องและ ผกก.เมืองปราจีนบุรี มาร่วมรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดย พล.ต.ต.ราเดช ได้ถามถึงเรื่องที่ถูกเรียกเก็บภาษีจากสรรพากรตามที่รับแจ้งได้มีการจัดตั้งบริษัทจริงหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่เคยจัดตั้งบริษัทอะไรเลยและไม่รู้เรื่องด้วย กระทั่งได้รับหนังสือจากสรรพากรให้ไปชำระภาษีค้างจ่าย 3 ครั้ง ครั้งแรก 29 ล้านบาท ครั้งที่ 2 จำนวน 335 ล้านบาท ครั้งที่ 3 จำนวน 483 ล้านบาท รวม 847 ล้านบาท ตนไม่ได้รู้เรื่องเลยกระทั่งถูกแจ้งความและถูกฟ้องขึ้นศาล
ผบก.ภ.จว.ปราจีนบุรี กล่าวว่า จากการสอบถามและดูจากเอกสาร เชื่อตามเอกสารของเจ้าหน้าที่แจ้งมา แม้วันนี้นายไพบูลย์จะยืนยันไม่รู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยกับเรื่องนี้ จากนี้ไปจะให้เจ้าหน้าที่เช็คที่มาที่ไปทั้งหมด อีกทั้งเส้นทางการเงินของบุคคลที่พัวพันเรื่องนี้ตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย ซึ่งนายไพบูลย์ก็ต้องถูกสอบสวนด้วย เพราะมีพยานหลักฐานอยู่หลายอย่างที่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีอยู่ ซึ่งเมื่อเจ้าตัวมาร้องขอความเป็นธรรมก็ให้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองปราจีนบุรีไว้ก่อน ส่วนรายละเอียดต่าง ๆ ที่มีเงื่อนงำอยู่จะรู้เรื่องทั้งหมดในเร็ว ๆ นี้
ข่าวน่าสนใจ:
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังพูดคุย นายไพบูลย์ได้เดินทางไปแจ้งความที่ สภ.เมืองปราจีนบุรี พนักงานสอบสวน ร ต.อ.สุรเดช มูลอ้าย ได้รับแจ้งความไว้แล้ว ผกก.สภ.เมืองปราจีนบุรี ได้แนะนำว่า ให้ไปแจ้งความร้องทุกข์แก่ ปปง.อีกทางจะได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าว วันนี้นายไพบูลย์ได้เริ่มต้นใหม่ในการที่จะต่อสู้เพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเอง ที่ผ่านมาอาจถูกคนหลอกหรือปลอมแปลงเอกสารไปจัดตั้งบริษัทและมีการเลี่ยงภาษีมูลค่ากว่า 800 ล้านบาท ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยภาษีของบริษัทดังกล่าว ประจำปี 2561 หากสรรพากรแจ้งมาอาจสูงกว่านี้
—————————–
ข่าว-ภาพโดย/ทองสุข สิงห์พิมพ์
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: