“ทวี มีเงิน” อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาขาติธุรกิจ ประสบการณ์ทำงานข่าวในภาคสนามและบริหารงานข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจในเชิงวิเคราะห์เจาะลึกมายาวนานร่วม 30 ปี ได้เขียนบทความ “ทุ่งใหญ่ 2516 – ทุ่งใหญ่ 2561 อภิสิทธิ์-เหลื่อมล้ำ-ท้าทายกฎหมาย” ใน Facebook TaweeMeengern ต่อกรณีการล่าสัตว์ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร
เวบไซต์ www.77kaoded.com ได้รับอนุญาตให้มาเผยแพร่ต่อ เนื่องจากเห็นว่าบทความชิ้นนี้มีมุมมองที่แหลมคมต่อประเด็นใหญ่ที่เป็นปัญหาในระดับรากลึกของสังคมไทย นั่นคือความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วในสังคมไทย
——————————–
“ความยิ่งใหญ่ของประเทศนั้นสามารถวัดได้โดยดูที่คนปฎิบัติต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างไร” นี่คือ อมตะวาจาของ “มหาตะมะ คานธี” มหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของโลก
ข่าวน่าสนใจ:
- ตม.ภูเก็ต รวบหญิงต่างชาติผิวสี เสนอขายบริการสร้างภาพลักษณ์เสื่อมเสียท่องเที่ยวภูเก็ต
- ตรัง จี้ซ่อมด่วนก่อนปิดท่าเรือปากเมงทรุด กระเบื้องร่วง-โป๊ะพัง-รังแตนอาละวาด หวั่นนักท่องเที่ยวอันตรายถึงชีวิต
- กอ.รมน. จ. ขอนแก่น กวดขัน แรงงานต่างด้าวลักลอบทำงานผิดกฎหมาย
- ผู้ว่าตรังสั่งซ่อมด่วนหลังคาท่าเรือปากเมง หวั่นอันตรายนทท. กระทบภาพลักษณ์จว. ลั่นพร้อมออกเงินส่วนตัว 2.3 หมื่นค่าวัสดุ…
เป็นวลีที่ประจานปรากฏการณ์ในบ้านเราตอนนี้ได้เป็นอย่างดี กล่าวสำหรับกรณีทุ่งใหญ่นเรศวรครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก เคยเกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นชนิดที่เรียกว่า “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” มาแล้วครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน 2516 เมื่อเฮลิปค็อปเตอร์เบลของกองทัพบกตกที่ บางเลน นครปฐม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน
คราวนั้นมีนายทหารหนุ่มใหญ่คับฟ้าเมืองไทยลูกชายนายกรัฐมนตรีในเวลานั้น และมีนายตำรวจใหญ่หลายนาย รวมถึง ดาราสาวชื่อดัง ร่วมคณะไปด้วย บริเวณซากเฮลิปค็อปเตอร์ตก ปรากฏว่ามีซากสัตว์ป่าและปืนล่าสัตว์เกลื่อนกระจาย
“จอมพลถนอม กิตติขจร” นายกรัฐมนตรีในตอนนั้นออกมาแก้ต่างให้กับผู้กระทำผิดซึ่งมีลูกชายตัวเองร่วมอยู่ด้วยว่า คณะเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติราชการลับ ส่วนขากระทิงและเนื้อสัตว์อื่นๆชาวบ้านให้มา
คำพูดไม่กี่ประโยคของผู้นำประเทศ กลายเป็นเอาน้ำมันราดรดกองไฟ คลื่นใต้น้ำที่อัดอั้นต่อสถานการณ์บ้านเมืองเวลานั้นถึงคราวระเบิดและรุกลามใหญ่โต อย่างคาดไม่ถึง!
เมื่อศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ดำเนินการกับผู้กระทำผิด แต่รัฐบาลเพิกเฉย เหตุการณ์ได้ขยายวงจากเรียกร้องให้จัดการขบวนการล่าสัตว์ทุ่งใหญ่นเรศวร กลายมาเป็นการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ
สุดท้ายนำไปสู่เหตุการณ์ “14 ตุลาวันมหาวิปโยค” พลิกโฉมการเมืองไทยชนิด 360 องศา จากรัฐบาลทหารที่ปฏิวัติตัวเอง มาสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยเต็มใบ
ใครจะคาดคิดว่าจาก 2516 ถึง 2561 “ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย” เกิดคดีอื้อฉาวขึ้นอีก และหลายปรากฏการณ์เวลานี้ก็คล้ายๆ กับเมื่อ 45 ปีที่แล้ว เพียงแค่เปลี่ยนตัวละคร จาก “ขุนศึก” มาเป็น “นายทุน” เจ้าของอาณาจักรอิตาเลี่ยนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ของไทยมีงานรัฐในมือนับแสนล้าน
เหตุการณ์ในปี 2516 คงไม่ใช่ครั้งแรกกระทั่งถึง 2561 คงไม่ใช่ครั้งที่ 2 ตลอดห้วงเวลา 45 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์ทำนองนี้หลายครั้งหลายหน แต่อาจไม่เป็นข่าวดังเช่นครั้งนี้
แม้แต่กรณีของ “เปรมชัย กรรณสูตร” ประธานบริหารอิตาเลี่ยนไทยดีเวล๊อปเมนต์ที่ถูกจับ ก็น่าสงสัยว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกหรือไม่
มีข้อน่าสังเกต จากปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างนำมาต่อ“จิ๊กซอว์” ตั้งแต่การติดต่อประสานงาน การแต่งกายที่ปรากฏในข่าวใส่เสื้อแจ็กเก็ตที่เรียกว่า Huntting Jacket ซึ่งมีแผ่นที่บ่าเอาไว้รองพานท้ายปืนไม่ให้ลื่นและกันแรงกระแทก รวมถึงอาวุธปืนที่ถูกบุกยึดจำนวนมาก ราวจะไปออกรบ นั่นย่อมไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่น่าจะเป็นระดับมืออาชีพเลยทีเดียว
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ น่าจะไปค้นประวัติย้อนหลังว่าเจ้าสัวเปรมชัยก่อนหน้านี้เคยเข้าป่าทุ่งใหญ่หรือไม่ ไปมากี่ครั้ง งานอดิเรกชอบล่าสัตว์หรือไม่ เชื่อว่า น่าจะเห็นข้อมูลอะไรดีๆ แน่ๆ
ครั้นพิจารณาจากปัจจัยแวดล้อมแล้ว งานนี้ฟันธงชนิดไม่ต้องกลัวธงหักว่า คณะของเปรมชัย แม้จะไม่ใช่กรุ๊ปใหญ่เหมือนปี 16 แต่ไม่ใช่กรุ๊ปเล็กๆ ที่มีแค่เปรมชัยกับลูกน้อง 3 คนแน่นอน
คนระดับนี้มีหรือที่จะไปแค่ชาวบ้าน 2-3 คน ระดับเศรษฐีแสนล้าน จะไปไหนมาไหนยิ่งไปเดินป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ก็คงต้องมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ติดตามคุ้มครองและอำนวยความสะดวกแน่นอน
ลำพังแค่ขออนุญาตเข้าสถานที่ยังใช้มือระดับอดีตบิ๊กข้าราชการกระทรวงเกษตรเป็นผู้ประสานงาน จึงไม่ต้องแปลกใจ ทำไมผู้อำนวยการสาวคนนั้นต้องเกรงใจ
อดีตข้าราชการคนนั้นต่อมาจึงรู้ว่าเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมของอิตาเลี่ยนไทย เรียกว่ามี“คอนเน็คชั่น”กับข้าราชการในกรมอุทยานอย่างแนบแน่นแถมยังใช้“อภิสิทธิ์”ในการเข้าป่าซึ่งคนธรรมดาทั่วไปคงทำไม่ได้
ยังมีข้อน่าสังเกตอีกว่า การที่เอาแม่ครัวไปด้วย แสดงว่าต้องอยู่หลายวันและหลายคนแน่ๆ เท่าที่สังเกตรูปภาพจะเห็นว่ามีเก้าอี้คล้ายที่เปรมชัยนั่งอีก 1 ตัวอยู่ข้างๆ อาจจะมีมากกว่านั้น แต่ไม่มีในภาพถ่าย ลำพังพรานหรือคนขับรถมีหรือจะกล้านั่งเก้าอี้ทำตัวเสมอนาย ถ้าไม่ใช่ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มาด้วย
น่าติดตาม.. บุคคลเหล่านี้มีกี่คน? ใครบ้าง? แล้วหายไปไหน? ทำไมทิ้งเปรมชัยไว้คนเดียว?
ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่ง มีการขับรถเข้าไปได้ แสดงว่าต้องไปช่องทางปกติที่มีด่านตรวจ การผ่านด่านได้ต้องได้รับอนุญาต นั่นแปลว่าถ้าไม่มีใบอนุญาตก็ต้องมี “ใบสั่ง”จากคนที่ใหญ่กว่าเจ้าหน้าที่ในพื้นที่สั่งให้เปิดทาง
ปรากฏการณ์จากกรณีทุ่งใหญ่นเรศวรปี 2516 ถึงปี 2561 สะท้อนว่าในห้วงเวลา 45 ปีที่ผ่านมา “สังคมไทย” ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ระบบสายสัมพันธ์“คอนเน็คชั่น” ระหว่างข้าราชการกับธุรกิจก็ยังแนบแน่น การใช้ “อภิสิทธิ์” ของคนรวยคนมีอำนาจยังไม่จืดจาง
เหนือสิ่งใดปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นยังสะท้อนให้เห็นถึง“ความเหลื่อมล้ำ”ในสังคมยังคงมีอยู่ จากน้ำเสียงของผู้รักษากฎหมายที่ส่อแววปกป้องเจ้าสัว หรือกรณีที่มี คนเอาภาพมาแชร์กันในโซเชียลมีเดีย เป็นภาพเจ้าหน้าที่ป่าไม้และตำรวจสภอ.ควนกาหลง สตูล แถลงข่าวการจับกุมยายวัย 73 ที่ขายอาหารป่า หลักฐานแค่ “แกง 2 ถุง”
แต่กรณีนักธุรกิจใหญ่ที่มีภาพเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา ตายอยู่ต่อหน้า กลับไม่มีแถลงข่าว แถมยังมีคลิปเสียงการต่อรองให้สินบนเจ้าหน้าได้ยินชัดเจน
คดีนี้จะเป็นอีกคดีหนึ่งที่ท้าทายกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า คุกมีไว้สำหรับขังคนจนหรือไม่ คำว่า “สองมาตรฐาน” มีจริงหรือไม่ งานนี้แม้ผลที่ออกมาอาจจะไม่ถึงสั่นสะเทือนการเมืองไทย แต่จะทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อยอึดอัดแน่ๆ
แม้คดีนี้ยังไม่ตัดสินคดีว่าคนที่ล่าสัตว์จะถูกลงโทษหรือไม่ แต่สองตายายไปเก็บเห็ดในป่าที่กาฬสินธุ์เอามาแกงประทังชีวิต ถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้จับกุมและถูกตัดสินจำคุกไปแล้ว
อยากจะบอกว่า… ความยิ่งใหญ่ของประเทศนั้น สามารถวัดได้โดยดูจากกระบวนการยุติธรรมปฏิบัติต่อคนทั้งหลายอย่างไร… เช่นเดียวกัน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: