กทม.- กทม.รณรงค์กิจกรรม “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน” กำหนดปิดไฟหลอดที่ไม่จำเป็นในวันเสาร์ที่ 30 มี.ค. 2562 ตั้งแต่เวลา 20.30 – 21.30 น. พร้อมกันทุกพื้นที่ เพื่อลดการใช้พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน เผยดับไฟ 1 ชั่วโมงประหยัดเงินได้ 7.8 ล้านบาท ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่าพันตัน
นายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผู้อำนวยการเขตหลักสี่ นำคณะผู้บริหารเขต และเจ้าหน้าที่เขต เดินรณรงค์กิจกรรม “ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน”(60+ Earth Hour 2019) บริเวณถนนงามวงศ์วาน โรงแรมมิคาเคิล แกรนด์ และห้างไอทีสแควร์ เพื่อเชิญชวนประชาชน รวมถึงบริษัทห้างร้านต่างๆ และอาคารสูง ร่วมกันปิดไฟที่ไม่ใช้งานเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ในวันเสาร์ที่ 30 มี.ค. 2562 เวลาตั้งแต่ 20.30 – 21.30 น. พร้อมกันทุกเขตในพื้นที่กรุงเทพฯ และเมืองอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ในการลดใช้พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน รวมถึงจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาโลกร้อน และร่วมกันเปลี่ยนพฤติกรรมมาสู่การใช้พลังงานอย่างรู้คุณค่าและยั่งยืน
กิจกรรม ปิดไฟ 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน เริ่มครั้งแรกในปี 2550 และกรุงเทพฯ ได้ร่วมกิจกรรมครั้งแรกในปี 2551 ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 12 แล้ว ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดจากจัดกิจกรรมดังกล่าวคือ ในปี 2561 มีองค์กรเข้าร่วมกิจกรรม 121 แห่ง ในช่วงที่มีการปิดไฟ 1 ชั่วโมง พื้นที่กรุงเทพฯ สามารถลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 2,002 เมกะวัตต์ คิดเป็นเงินประมาณ 7,860,000 บาท แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ สามารถลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 1,026 ตัน ทั้งนี้ หากนับรวมการจัดกิจกรรมตั้งแต่ปี 2551 – 2561 สามารถลดการใช้กระแสไฟฟ้าได้ 10,259 ตัน เป็นเงิน 64,780,000 บาท
ข่าวน่าสนใจ:
สำหรับปีนี้กรุงเทพมหานครได้ร่วมกับองค์กรต่างๆ 262แห่ง จัดกิจกรรมพร้อมกับ 188 ประเทศทั่วโลกในวันที่ 30 มี.ค. 2562 ณ บริเวณลานสแควร์ C ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เขตปทุมวัน ภายใต้แนวคิด “ปิดเพื่อโลกเปลี่ยนเพื่ออนาคต” เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยมีเป้าหมาย 3 เรื่อง คือ ลดการใช้พลังงาน ลดการใช้พลาสติก และรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยกำหนดจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในกลุ่มเขตต่างๆ 6 กลุ่มเขตระหว่างวันที่ 25 – 30 มี.ค. 2562 เช่น กิจกรรมการเดินรณรงค์เพื่อสุขภาพ การปั่นจักรยาน การจัดเก็บขยะ การอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การรณรงค์เกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ รวมถึงเชิญชวนประชาชนร่วมปิดไฟ 1 ชั่วโมง
นายสมบัติ ระบุว่า การปิดไฟไม่ได้หมายความว่าต้องปิดทุกดวง หรือปิดทุกวันๆ ละ 1 ชั่วโมง อาจจะปิดไฟเพียงแค่เฉพาะในส่วนที่คิดว่าไม่จำเป็นใช้ในบางพื้นที่ ซึ่งหากเราร่วมมือกันอย่างจริงจัง เชื่อว่าปัญหามลพิษต่างๆ จะดีขึ้นได้ นอกจากนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีรถยนต์ 7 ที่นั่ง ประมาณ 4 ล้านคัน หากแต่ละคันลดการใช้น้ำมัน 1 ลิตร ก็จะสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 2.2 กิโลกรัม และประหยัดเงินได้ 80 ล้านบาทต่อวัน ขณะเดียวกันหากทุกครัวเรือนลดพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยครัวเรือนละ 1% ต่อปี ก็สามารถประหยัดงบประมาณในการผลิตไฟฟ้าได้ 500 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งการปลูกต้นไม้หนึ่งต้นสามารถช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 9 กิโลกรัม
สำหรับปีนี้มีสถานที่ต่างๆ ร่วมปิดไฟในเชิงสัญลักษณ์ อาทิ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)พระบรมมหาราชวัง วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เสาชิงช้า สะพานพระราม8 และภูเขาทอง (วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร) รวมถึงองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน กว่า 500 แห่ง และบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่เขตต่างๆ อีกทั้งกรุงเทพมหานครจะมีการปิดไฟถนนเขตละ 1 – 2 ถนน เท่าที่จำเป็นไม่ได้ปิดตลอดสาย คาดว่าจะสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้ไม่ต่ำกว่า 2,200 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ขอเชิญชวนประชาชนพร้อมใจกันปิดไฟที่ไม่จำเป็นใช้ในช่วงเวลา 20.30 – 21.30 น.โดยพร้อมเพรียงกัน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: